ค่าจ้างเพื่อชีวิต
วิดีโอการแสดงจากสยามพิฆเนศ, Be Musical, Videvo.net, and Kiril Dobrev
กฎหมายไทยนิยามค่าจ้างขั้นต่ำ (Minimum Wage) ว่า “อัตราค่าจ้างที่เพียงพอสําหรับแรงงานทั่วไปแรกเข้าทํางาน 1 คนให้สามารถดํารงชีพอยู่ได้ตามสมควรแก่มาตรฐานการครองชีพ สภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งเหมาะสมตาม ความสามารถของธุรกิจในท้องถิ่นนั้น”
ในขณะที่ผศ.ปกป้อง จันวิทย์ และอ.ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นิยามค่าจ้างเพื่อชีวิต (Living Wage) ไว้ว่า “ระดับค่าจ้างที่ทำให้แรงงานสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีระดับมาตรฐานการครองชีพที่อยู่ได้อย่างภาคภูมิใจ สามารถธำรงความเคารพนับถือในตัวเอง อีกทั้งเป็นระดับค่าจ้างที่ทำให้แรงงานมีหนทางและเวลาว่างเพียงพอที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของสังคม”
ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นเห็นว่าค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายในหลายจังหวัดนั้นไม่สอดคล้องกับระดับค่าใช้จ่ายจริงในปัจจุบัน จึงคำนวณและกำหนดค่าจ้างเพื่อชีวิตเพื่อเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการจ่ายค่าตอบแทนแรงงานละครเวทีอย่างเสมอภาค
ค่าจ้างเพื่อชีวิตในแต่ละจังหวัด
ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567
- กระบี่ 46 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- กรุงเทพมหานคร 99 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- กาญจนบุรี 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- กาฬสินธุ์ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- กำแพงเพชร 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ขอนแก่น 44 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- จันทบุรี 52 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ฉะเชิงเทรา 59 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ชลบุรี 68 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ชัยนาท 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ชัยภูมิ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ชุมพร 45 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- เชียงราย 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- เชียงใหม่ 46 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ตรัง 42 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ตราด 57 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ตาก 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- นครนายก 45 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- นครปฐม 65 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- นครพนม 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- นครราชสีมา 44 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- นครศรีธรรมราช 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- นครสวรรค์ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- นนทบุรี 84 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- นราธิวาส 41 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- น่าน 42 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- บึงกาฬ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- บุรีรัมย์ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ปทุมธานี 123 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ประจวบคีรีขันธ์ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ปราจีนบุรี 65 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ปัตตานี 41 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- พระนครศรีอยุธยา 54 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- พะเยา 42 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- พังงา 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- พัทลุง 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- พิจิตร 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- พิษณุโลก 44 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- เพชรบุรี 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- เพชรบูรณ์ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- แพร่ 42 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ภูเก็ต 89 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- มหาสารคาม 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- มุกดาหาร 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- แม่ฮ่องสอน 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ยโสธร 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ยะลา 41 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ร้อยเอ็ด 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ระนอง 49 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ระยอง 76 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ราชบุรี 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ลพบุรี 44 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ลำปาง 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ลำพูน 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- เลย 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- ศรีสะเกษ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สกลนคร 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สงขลา 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สตูล 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สมุทรปราการ 97 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สมุทรสงคราม 44 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สมุทรสาคร 93 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สระแก้ว 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สระบุรี 59 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สิงห์บุรี 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สุโขทัย 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สุพรรณบุรี 44 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สุราษฎร์ธานี 51 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- สุรินทร์ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- หนองคาย 44 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- หนองบัวลำภู 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- อ่างทอง 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- อำนาจเจริญ 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- อุดรธานี 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- อุตรดิตถ์ 36 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- อุทัยธานี 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
- อุบลราชธานี 43 บาทต่อชั่วโมงหลังหักภาษี 
ผู้ว่าจ้างต้องจ่ายแพงไปไหม
ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นตระหนักดีว่านักจัดการละครเวทีในประเทศไทยมีภาระหนักอึ้งในการหารายได้สำหรับละครเวทีที่ก็ยากเย็นอยู่แล้ว ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นเองก็เป็นหนึ่งในนั้น มีประสบการณ์โดยตรง จึงเข้าใจนักจัดการละครเวทีเป็นอย่างมาก เราจึงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้อัตราค่าจ้างเพื่อชีวิตที่กำหนดไม่กลับกลายเป็นการสร้างภาระเกินจำเป็น จนอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมละครเวทีโดยรวมโดยมิได้ตั้งใจ
กราฟข้างบนนี้ใช้ข้อมูลของกรุงเทพมหานครเพื่อขับเน้นให้เห็นความแตกต่างระหว่างระดับรายได้และค่าใช้จ่าย กราฟนี้แสดงให้เห็นว่าค่าจ้างขั้นต่ำของกรุงเทพมหานครต่ำกว่าค่าใช้จ่ายจริงของประชาชนประมาณครึ่งหนึ่งของเมืองถึงกว่า 2 - 2.5 เท่าเลยทีเดียว
หากจะตอบคำถามว่าผู้ว่าจ้างต้องจ่ายแพงไปไหม ก็ต้องมาพิจารณาว่าอะไรคือค่าตอบแทนระดับดี ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นเห็นว่าการมีรายได้มากกว่าประชาชนประมาณครึ่งหนึ่งของจังหวัดเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีรายได้ระดับดี ผู้ว่าจ้างจะถือว่าจ่ายแพงก็ต่อเมื่อจ่ายค่าตอบแทนสูงกว่าระดับรายได้เฉลี่ยของจังหวัด ซึ่งในกรุงเทพมหานครนั้นสูงกว่าค่าจ้างเพื่อชีวิตไปอีกประมาณ 1.5 เท่า
การมีรายได้เพียงพอจับจ่ายเหมือนประชาชนประมาณครึ่งหนึ่งของจังหวัดนั้นไม่ใช่ความหรูหรา แต่เป็นคุณภาพชีวิตขั้นต่ำที่แรงงานละครไทยควรมีเพื่อให้ดำรงชีพอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ เหตุนี้ ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นจึงยึดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของจังหวัดเป็นค่าจ้างเพื่อชีวิต และไม่ได้มองว่าเป็นระดับค่าตอบแทนที่แพงไปแม้แต่น้อย
งานคิด งานเขียน งานออกแบบ คิดค่าจ้างเท่าไรดี
นักการละครหลายท่านเมื่อเห็นค่าจ้างเพื่อชีวิตกำหนดเป็นรายชั่วโมงก็อาจสงสัยว่าแล้วงานบางประเภทที่ไม่สามารถกำหนดชั่วโมงทำงานได้ชัดเจน เช่น งานออกแบบโครงการ งานเขียนบทละคร หรืองานออกแบบศิลป์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า แสง เสียง อุปกรณ์ประกอบฉาก จะต้องคิดค่าจ้างอย่างไร ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นยึดหลักง่ายๆ คือ สามารถคิดเหมาว่าทำงานครึ่งวันเท่ากับ 4 ชั่วโมง และเต็มวันเท่ากับ 8 ชั่วโมงได้
ตัวอย่างที่ 1 นักเขียนบทละครในกรุงเทพมหานครท่านหนึ่งใช้เวลาทั้งสิ้น 15 สัปดาห์ในการพัฒนาบทแต่ต้นจนพร้อมนำไปใช้แสดง ในหนึ่งวันอาจมิได้นั่งเขียนบทอยู่ตลอด อาจจะแวะไปเดินเล่นบ้าง ทำงานอย่างอื่นไปด้วยบ้าง แล้วกลับมาเขียนบทต่อเมื่อมีแรงบันดาลใจ ประมาณเวลาว่าเขียนบทครึ่งวัน 5 วันต่อสัปดาห์ ค่าตอบแทนขั้นต่ำที่นักเขียนบทละครท่านนี้ควรได้รับเพื่อให้เสมอภาคคือ
ค่าจ้างเพื่อชีวิต x ชั่วโมงทำงานรวมทั้งหมด = ค่าตอบแทนขั้นต่ำที่ควรได้รับ
99 x (4 x 5 x 15) = 29,700 บาทหลังหักภาษี
หมายเหตุ: บทละครหรืองานออกแบบที่เขียนหรือออกแบบขึ้นใหม่สำหรับการแสดงหนึ่งๆ ผู้ว่าจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนตามชั่วโมงทำงานรวม หากเป็นบทละครหรืองานออกแบบที่เขียนหรือออกแบบไว้ก่อนแล้ว ผู้ว่าจ้างสามารถจ่ายเป็นค่าสิทธิ (Royalty) แทนได้
ตัวอย่างที่ 2 เช่น นักออกแบบแสงในจังหวัดเชียงใหม่ใช้เวลาทั้งสิ้น 2 สัปดาห์เฉพาะส่วนของการออกแบบแสงจนพร้อมติดตั้งหน้างาน ยังไม่รวมจำนวนชั่วโมงที่ต้องไปดูซ้อมและแขวนไฟเอง ในหนึ่งวันอาจมิได้ออกแบบแสงให้โปรดักชั่นนี้ทั้งวัน ประมาณเวลาว่าทำงานนี้ครึ่งวันทุกวัน ค่าตอบแทนขั้นต่ำที่นักออกแบบแสงท่านนี้ควรได้รับเพื่อให้เสมอภาคเฉพาะช่วงคิดงานออกแบบคือ
ค่าจ้างเพื่อชีวิต x ชั่วโมงทำงานรวมทั้งหมด = ค่าตอบแทนขั้นต่ำที่ควรได้รับ
46 x (4 x 7 x 2) = 2,576 บาทหลังหักภาษี
นักออกแบบแสงท่านนี้ต้องไปนั่งดูซ้อมด้วยรวม 4 ชั่วโมง และแขวนไฟเองอีก 16 ชั่วโมง ค่าตอบแทนขั้นต่ำที่นักออกแบบแสงท่านนี้ควรได้รับในช่วงดูซ้อมและแขวนไฟคือ
ค่าจ้างเพื่อชีวิต x ชั่วโมงทำงานรวมทั้งหมด = ค่าตอบแทนขั้นต่ำที่ควรได้รับ
46 x 20 = 920 บาทหลังหักภาษี
ดังนั้น นักออกแบบแสงท่านนี้ควรได้รับค่าตอบแทนอย่างน้อย 3,496 บาทจากโปรดักชั่นนี้
ต้องไม่ลืมว่าค่าจ้างเพื่อชีวิตเป็นเพียงค่าจ้างขั้นต่ำที่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่านั้น หากแรงงานละครไทยได้ค่าตอบแทนสูงกว่าค่าจ้างเพื่อชีวิตก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามลำดับ
งานอาสาสมัครเสมอภาคไหม
การอาสาช่วยเหลืองานเพื่อสังคมอันรวมถึงการสร้างสรรค์งานศิลปะนั้นไม่ใช่การจ้างงาน ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องความเสมอภาคเข้ามาเกี่ยวข้อง กระนั้นหลายครั้งคำว่า “อาสาสมัคร” ก็กลายเป็นเครื่องอำพรางการจ้างงานโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน การกระทำเช่นนี้ไม่เสมอภาคอย่างแน่นอน ผู้รับจ้างทุกคนต้องได้รับค่าตอบแทน
ข้อแตกต่างระหว่างงานอาสาสมัครและงานรับจ้างที่ต้องได้ค่าตอบแทนคือ งานอาสาสมัครไม่มีภาระผูกพัน อาสาสมัครสามารถยกเลิกเมื่อใดด้วยเหตุผลใดก็ได้ ในขณะที่งานรับจ้างไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตามมีภาระผูกพัน ผู้ว่าจ้างคาดหวังให้ผู้รับจ้างปฏิบัติงานให้สำเร็จตามที่กำหนด
ตัวอย่างงานอาสาสมัคร เช่น ตำแหน่งต้อนรับหน้าโรงละคร ผู้จัดไม่ผูกมัดให้ต้องมาทุกรอบ เพียงแต่ขอให้แจ้งล่วงหน้าหากจะไม่มาในรอบใดเพื่อจะได้หาอาสาสมัครทดแทนทันเวลา อาสาสมัครสามารถเลือกไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนแทนมาทำงานอาสาได้โดยไม่เสียประวัติการทำงาน เป็นต้น ตัวอย่างเดียวกันแต่หากผู้จัดคาดหวังให้มาทุกรอบและมีผลต่อประวัติการทำงานเมื่อแจ้งล่วงหน้าว่าจะไม่มาในรอบใดรอบหนึ่ง กรณีเช่นนี้เข้าข่ายเป็นการว่าจ้าง ต้องจ่ายค่าตอบแทน มิเช่นนั้นถือเป็นการเอาเปรียบแรงงาน
ต้องจ่ายนักศึกษาฝึกงานและเจ้าหน้าที่ฝึกหัดไหม
การฝึกงานที่เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา (Internship) มิใช่การจ้างงาน แต่เป็นการฝึกปฏิบัติเพื่อเตรียมทักษะก่อนเข้าตลาดแรงงาน กฎหมายมิได้บังคับให้จ่ายค่าตอบแทนนักศึกษาฝึกงาน ผู้ว่าจ้างจะจ่ายค่าตอบแทนหรือไม่ก็ได้
การฝึกงานที่มิได้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา (Apprenticeship) เช่น นักศึกษามาขอฝึกงานด้วยตนเอง หรือผู้ว่าจ้างเปิดโอกาสให้ฝึกงานโดยไม่ต้องมีหนังสือรับรองจากสถานศึกษา กฎหมายถือว่าเป็นการจ้างงาน มิใช่นักศึกษาฝึกงาน ผู้ว่าจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทน ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นเรียกตำแหน่งนี้ว่าเจ้าหน้าที่ฝึกหัด
แม้กฎหมายจะมิได้บังคับให้ผู้ว่าจ้างจ่ายค่าตอบแทนนักศึกษาฝึกงาน แต่ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นเห็นว่าการเปิดรับนักศึกษาฝึกงานโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนนั้นสร้างความเหลื่อมล้ำทางโอกาส ทำให้นักศึกษาที่ฐานะทางเศรษฐกิจต่ำกว่า มีความจำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพไปด้วยขณะเรียน อาจไม่สามารถใช้โอกาสนี้พัฒนาตนเองได้เหมือนนักศึกษาที่ฐานะทางเศรษฐกิจสูงกว่าและไม่จำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพขณะเรียน ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นจึงกำหนดให้ผู้ใช้โล่เสมอภาคในสื่อประชาสัมพันธ์ของตนต้องจ่ายค่าตอบแทนนักศึกษางานฝึกงานด้วย
ทั้งนี้ ด้วยวัตถุประสงค์หลักของนักศึกษาฝึกงานและเจ้าหน้าที่ฝึกหัดเป็นไปเพื่อพัฒนาทักษะผ่านการปฏิบัติงานจริง มิใช่เพื่อทดแทนการจ้างงาน ผู้ว่าจ้างยังคงมีหน้าที่ให้คำแนะนำในการปฏิบัติงาน ต่างจากผู้รับจ้างที่พร้อมปฏิบัติงานทันที เหตุนี้ ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นจึงกำหนดให้ผู้ว่าจ้างสามารถจ่ายค่าตอบแทนนักศึกษาฝึกงานและเจ้าหน้าที่ฝึกหัดที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายแทนอัตราค่าจ้างเพื่อชีวิตได้ เพื่อผ่อนปรนภาระในการพัฒนาทักษะแรงงาน
ระเบียบวิธีกำหนดค่าจ้างเพื่อชีวิต
ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นใช้ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติในการคำนวณค่าใช้จ่ายเฉลี่ย (Mean) ในแต่ละจังหวัดต่อคนต่อชั่วโมง และยึดเอาอัตรานี้เป็นค่าจ้างเพื่อชีวิตรายชั่วโมง เหตุที่ประกาศเป็นรายชั่วโมงแทนรายวันก็เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมชาติการทำงานของแรงงานศิลปะละครเวที
จังหวัดใดมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นจะยึดเอาค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างเพื่อชีวิต
เป้าประสงค์หลักของการกำหนดอัตราค่าจ้างเพื่อชีวิตนี้คือเพื่อเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำให้ผู้ว่าจ้างอ้างอิงในการคำนวณค่าตอบแทน ฉะนั้นเราจึงประกาศเพียงอัตราเดียวต่อจังหวัดสำหรับแรงงาน 1 คน และไม่ได้นำจำนวนสมาชิกในครัวเรือนมาร่วมคำนวณด้วย
ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นเลือกไม่ใช้ค่ามัธยฐาน (Median) ตามงานวิจัยของผศ.ปกป้องและอ.ดร.พรเทพแม้จะเป็นตัววัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางของข้อมูลชุดใหญ่ที่แจกแจงแบบเบ้ได้แม่นยำกว่า เนื่องจากไม่มีข้อมูลสาธารณะพร้อมใช้งานเพียงพอต่อการคำนวณค่ามัธยฐาน ทั้งนี้ ชุดข้อมูลรายจ่ายโดยทั่วไปจะแจกแจงแบบเบ้ขวาและมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่ามัธยฐาน การเลือกใช้ค่าเฉลี่ยแทนค่ามัธยฐานจึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ศิลปินได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกทาง
ระดับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสิบปีย้อนหลังตั้งแต่พ.ศ. 2554 - 2563 ไม่มีความผันผวนมากนัก ไทยเธียเตอร์ฟาวน์เดชั่นเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องคำนวณค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในรอบเวลามากกว่าหนึ่งปี (เช่นเฉลี่ย 4 ปี) เพื่อลดความผันผวน จึงยึดเอาค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของแต่ละปีเป็นอัตราค่าจ้างเพื่อชีวิตเลย
อนึ่ง องค์กรหลายแห่งเสนอตัวเลขและวิธีคำนวณที่แตกต่างกัน เช่น คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ คณะอนุกรรมการปฏิรูประบบแรงงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแม้กระทั่งกระทรวงแรงงานเอง

 
             
            