The Artitude series Part 1: How to create social impact by art

ภาพ1.png

ทำไมการสร้างงานศิลปะที่คำนึงถึงสังคมถึงกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนยุคใหม่ 

บทความนี้เราจะพาผู้อ่านทุกท่านมาทำความเข้าใจถึงหลักคิดอีกรูปแบบของการสร้างงานศิลปะ

ที่ผสมผสานวิธีคิดการหาไอเดียการสร้างงานที่คำนึงถึงสังคมแต่ศิลปะก็ยังมีความเป็นตัวของตัวเองได้

  1. ปัญหาไหนที่เป็นระดับสังคมส่วนมากเกิดจากทุกอาชีพร่วมกันสร้าง เช่น มลภาวะ โลกร้อน คอร์รัปชัน เหลื่อมล้ำ

  2. แต่เวลาแก้ไขเรากลับไม่ค่อยช่วยกันแก้ เราพึ่งบางอาชีพให้เขามาแก้แทนเรามากเกินไป

  3. เวลามีปัญหาใหญ่ระดับสังคมรัฐบาลจะเรียกทุกภาคส่วนมาหารือแต่ส่วนใหญ่ไม่มีภาคศิลปะ

  4. ในเวลานี้ที่อาชีพบางอย่างกำลังหายไปในทุกวัน เพราะอาชีพนั้นไม่รู้ว่ามันกำลังช่วยเหลือใครอยู่

  5. และอาชีพใหม่ที่ขึ้นมาเพราะมันรู้ว่ามันกำลังทำให้ชีวิตใครดีขึ้นหรือรู้ว่ามันกำลังแก้ปัญหาให้ใคร

  6. ครูแก้ปัญหาให้คนที่ยังไม่รู้ หมอแก้ปัญหาให้คนที่ยังไม่สบาย กุ๊กแก้ปัญหาให้คนที่ยังไม่อิ่ม ศิลปินแก้ปัญหาให้อะไร

  7. บ้างบอกศิลปินแก้ปัญหาให้สังคม คำถามคือสังคมเวลามีปัญหานั้นต้องการศิลปินมากแค่ไหน

  8. เด็กเรียนศิลปะคนหนึ่งบอกศิลปะแก้ปัญหาให้คนที่ยังไม่มีความสุข

  9. ลองถามคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่มีความสุขดูว่าสามวิธีแรกที่เขาเลือกแก้ปัญหาคืออะไร

  10. ส่วนใหญ่ตอบว่าไปเที่ยวที่ ๆ ชอบ หาอะไรอร่อย ๆ กิน ฟังเพลงดู Netflix 

  11. ถ้าในเชิงอาชีพเด็กคนนั้นกำลังเลือกแก้ปัญหาที่มีคู่แข่งเยอะ และสามอันดับแรกไม่มีศิลปะในตัวเลือกด้วยซ้ำ

  12. ถ้าอยากอยู่รอดก็ต้องทำงานของตัวเองให้มีคุณภาพมากขึ้น หรือไม่ก็ลองเลือกแก้ปัญหาอื่นไปเลย

  13. Sustainability trends that shape the future คือเรื่องที่ต้องจับตา

  14. เด็กรุ่นใหม่ต่อจากนี้ Trend ของยุคจะไม่ใช่เรื่อง Objects แต่จะเป็นเรื่องของหลักคิด (Main Idea)

  15. หลักคิดที่คิดว่าจะทำยังไงที่จะช่วยให้โลกนี้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในทุก ๆ มิติ

  16. “คนรุ่นก่อน Save our future” “คนรุ่นนี้ We don’t have time” “คนรุ่นต่อจากนี้ Everyday is future”

  17. หลังจากนี้อาชีพใดหรือผู้ใหญ่คนไหนตอบเด็กไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำมันจะช่วยโลกนี้ให้ดีขึ้นยังไง ก็จะไม่ได้รับการยอมรับ

  18. หลายปีก่อนถ้าเปิดโครงการชิงทุนแก้ปัญหาสังคมจะเห็นเยาวชนสมัครร่วมน้อยมาก

  19. เวลานี้ลองเปิดรับสมัครดูจะเห็นคนรุ่นใหม่แห่สมัครล้นหลาม แต่จำนวนทุนที่ให้ก็ยังมีจำกัด

  20. รัฐบาลถ้าอยากร่วมสมัยงานที่ต้องทำคือหาไอเดียสนับสนุนกลุ่มคนที่พลาดทุนให้มากกว่ากลุ่มคนที่ได้ทุน

  21. ความยากของคนที่ทำงานยุคเก่าคือช่องทางการสื่อสาร แต่ของคนยุคนี้คือการทำยังไงให้ไม่โดนบดบัง

  22. ลองคิดถึงปัญหาอะไรที่ตัวเราสนใจที่จะช่วยทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นกว่านี้ได้

  23. แล้วในปัญหาที่สนใจลองคิดดูว่าตัวเราเองสามารถทำอะไรได้บ้าง

  24. ถ้าแก้ปัญหาการเมืองด้วยนักการเมือง แบบนี้คือการแก้ปัญหาแบบปกติ (Fix Solution)

  25. ถ้าแก้ปัญหาการเมืองด้วยนักศิลปะ หมอ กุ๊ก เกมเมอร์ ช่างตัดผม ครู ฯลฯ แบบนี้คือแบบใหม่ (Creative Solution)

  26. โลกยุคใหม่ทุกอาชีพมีโอกาส 2 อย่าง คือ แก้ปัญหาเดิมที่ยังแก้ได้ไม่ดีกับแก้ปัญหาให้อาชีพอื่นที่ยังแก้ปัญหาเดิมได้ไม่ดี

  27. ความยั่งยืนเมื่อก่อนคือการคิดเพื่อวันข้างหน้า แต่วันนี้คือการรู้ว่าทุกสิ่งที่เราทำเป็นส่วนหนึ่งกับทุกอย่างบนโลกยังไง

  28. ศิลปินและบางคนยังกลัวคำว่าธุรกิจเพราะว่ามันคือเรื่องของเงิน คือเรื่องของการตอบสนองความต้องการผู้อื่น (Market)

  29. ธุรกิจคืองานของการแก้ปัญหาและได้รับค่าตอบแทน ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เรียกว่าเงิน

  30. แต่จริง ๆ ธุรกิจไม่ได้หมายถึงแค่การต้องทำตามแต่สิ่งที่ผู้อื่นต้องการเท่านั้น

  31. ธุรกิจยังหมายถึงการทำสิ่งที่เราชอบเรารักและเป็นเราที่สุด แต่งานจริง ๆ คือทำยังไงให้ทุกคนมารักในสิ่งที่เราเป็น

  32. การทำให้ทุกคนรักในสิ่งที่เราเป็นไม่ใช่แค่ทักษะในวิชาชีพ แต่มันมีเรื่องการสื่อสาร การตลาด Branding ดูแลลูกค้า ฯลฯ

  33. ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหน ทุกสิ่งทุกอย่างเรียนรู้ได้เสมอ และทุกคนไม่มีใครเริ่มต้นจากก้าวที่สอง

  34. สิ่งที่ควรรู้ในโมเดลธุรกิจเพื่อสังคม คือ รู้ปัญหา รู้ว่าใครแก้อยู่ รู้ว่าเขาแก้แบบไหน (Fix/Creative) และ รู้ว่าสินค้าบริการเขาคืออะไร

  35. ความท้าทายในงานแก้ปัญหาสังคมคือ โมเดลธุรกิจ การสื่อสาร การขยายผล

  36. การวัดผลสำเร็จทางสังคมเชิงตัวเลขคือสิ่งที่การสร้างงานศิลปะในหลักคิดปกติทำลำบาก

  37. Art for social impact คือ โมเดลที่จะช่วยให้ภาคศิลปะเป็นบทบาทสำคัญในการร่วมแก้ปัญหาสังคมอีกทาง

  38. โมเดลที่ทุกฝ่ายจะได้ร่วมกันทำงาน คือ “มีปัญหา + มีผู้แก้เดิม (รัฐ เอกชน ภาคสังคม) + รูปแบบการแก้ + สินค้าบริการ + ภาคศิลปะ (Power Full Communication) + เปิดทางให้ประชาชนร่วมแก้ปัญหา (Call to action)”

  39. ศิลปะคือ Power Full Communication เพราะไม่ว่าเราจะอายุเท่าไร เพศอะไร อาชีพไหน มีความเชื่ออะไร เราทุกคนก็ยังฟังเพลง ดูละคร ดูหนัง ดูงานศิลปะ

  40. ถ้าปัญหาใหญ่ ๆ ในสังคมล้วนเกิดจากทุกอาชีพนั้นช่วยกันสร้างขึ้น การใช้ศิลปะช่วยสื่อสารก็คือกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลเสมอ

  41. มี Case Study ในโลกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าการใช้ศิลปะมาช่วยสื่อสารปัญหาสังคมนั้นสร้างให้เกิด Social Impact ได้เร็ว

  42. ญี่ปุ่นใช้ศิลปะวาดรูปในนาข้าวช่วยให้คนทั้งเมืองหันมาสนใจแก้ปัญหาเกษตรกร

  43. บราซิลใช้การจัดเทศการศิลปะรวบอาสาสมัครทุกอาชีพมาช่วยเหลือคนไร้บ้านและซาเล้ง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

  44. รัซเซียแก้ปัญหาถนนเป็นหลุมบ่อด้วยการ Paint หน้าผู้รับผิดชอบ กลายเป็น Viral จนเกิดการแก้ปัญหาทันทีวันรุ่งขึ้น

  45. และยังมีอีกตัวอย่างมากมายรวมถึงในประเทศไทยที่กำลังใช้โมเดลนี้ในการร่วมสร้างสรรค์สังคม

ทั้ง 45 ข้อนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการบรรยาย 2 ชั่วโมง ในวิชา Performing education & Social development มันคือโมเดลที่ผู้เขียนใช้ในการทำงานอยู่จริง ๆ ยังมีอีกหลายวิธีการ และหลายมุมมองที่ยังไม่ได้กล่าวถึง หากมีโอกาสผู้เขียนจะนำมาเขียนเพิ่มเติมในตอนถัดไป ขอบคุณคณะศิลปกรรม มศว ที่ให้โอกาสผู้เขียนได้ไปบรรยายในหัวข้อนี้ และนำส่วนหนึ่งมาเขียนเป็นบทความในครั้งนี้ 

#TheArtitude 

 

ผู้เขียน

221614694_994686788034015_193951982601497033_n.jpg

กฤษณ์ สงวนปิยะพันธ์ (หลุยส์)

Director of Blind Experience

สนใจเรื่องการสร้างสรรค์สังคมด้วยไอเดียศิลปะ 

เชื่อว่า Arts Society Business Sustainability คือสิ่งที่สามารถอยู่ร่วมกันได้